Search

‘Ere Our Curtain Falls’

Tales from the ...

  • Share this:

‘Ere Our Curtain Falls’

Tales from the Shadows ซีรีส์เรื่องสั้นอย่างเป็นทางการของ FFXIV บอกเล่าเนื้อหาเพิ่มเติมจากในเกม

วันนี้ก็เข้าตอนที่เจ็ดแล้ว เป็นเรื่องราวในอดีตของเอเมทและอิลิดิบัส ถือเป็นตอนรองสุดท้ายของภาค Shadowbringers ค่ะ (จะมีทั้งหมดแปดตอน) มาย้อนอดีตกันเลย~

ตอนที่แล้ว bit.ly/TalesEP6

**ในตอนนี้ สรรพนามของอาเซ็ม ตัวตนในอดีตของ WoL เปลี่ยนตามเพศของตัวเอกของเรา ถ้าใครเล่นตัวผู้ชายก็จะถูกพูดถึงเป็น ‘เขา’ แทน ‘เธอ’ 😙
.
.
.
บทแปลเรื่องสั้น
ตอนที่ 7 : ก่อนจะปิดม่านการแสดง

“เอเมทเซลค์!”

เสียงคนเรียกข้าดังก้องอยู่ในห้องโถงทางเข้าอาคารหลัก จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็คงไม่ได้แล้วสิ (โธ่เอ้ย) จึงจำใจหันกลับไปพบหน้ากับคนที่วิ่งตามมา เกือบจะหนีพ้นแล้วเชียว…

เจ้าของเสียงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากชายหนุ่มร่างเล็กในชุดคลุมสีขาวที่รีบวิ่งข้ามห้องโถงมา หน้ากากสีแดงบ่งบอกว่าเขาเป็นสมาชิกของผู้นำทั้งสิบสี่ อิลิดิบัส

ข้ารอให้คู่สนทนาพักหายใจจนหายเหนื่อยพอจะพูดได้ เสียงของเขาเป็นน้ำเสียงที่สดใสกระตือรือร้นเช่นเคย

“ท่านรู้จักภูเขาไฟที่เรากำลังจะประชุมกันในวาระถัดไปหรือไม่?”

“อา ใช่ ข้ารู้มาว่าหัวข้อเป็นเรื่องของไฟ”

ตามรายงานที่ผ่านตา มีการเคลื่อนไหวของเอเธอร์ที่ผิดปรกติบนเกาะภูเขาไฟแห่งหนึ่ง พูดอีกอย่างก็คือมันกำลังจะปะทุนั่นเอง บนเกาะนั้นมีหมู่บ้านอยู่ เป็นหมู่บ้านที่ทำการเกษตรได้ผลผลิตดีงามยิ่ง น่าเสียดายที่อีกไม่นานมันจะต้องถูกทำลายด้วยภัยธรรมชาติ แต่โลกของเราก็เป็นเช่นนี้เอง

หน้าที่ของพวกเราคือการรับรู้และจับตาดู เช่นเดียวกับชาวหมู่บ้านนั้นที่ไม่คิดขัดขวางกระบวนการธรรมชาติ พวกเขาอพยพไปที่อื่นเรียบร้อยแล้วด้วยความรอบคอบ จริงอยู่ที่ว่าเหล่าผู้นำมีแผนจะประชุมกันเรื่องนี้ แต่ผลลัพธ์ก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้

ถ้าเช่นนั้นแล้วอิลิดิบัสต้องการจะคุยกับข้าในประเด็นใดกัน?

“อาเซ็มออกเดินทางไปที่นั่นแล้ว ได้ยินว่านางจะไปยับยั้งการปะทุของภูเขาไฟ”

...ข้าพยายามทำสีหน้าให้ราบลื่น ถึงแม้คิ้วจะเริ่มขมวดเข้าหากันทันทีก็เถอะ

“ด้วยวิธีการใดรึ?” ข้าถามออกไปทั้งที่ในใจอยากจะถามว่าทำไมต้องมาฟ้องข้าด้วย อิลิดิบัสก็ตอบกลับด้วยท่าทีสุขุม

“ท่านรู้จัก‘อิฟริต้า’หรือไม่? เจตจำนงแห่งไฟ”

“ตัวตนประดิษฐ์ฝีมือลาฮาแบรใช่ไหม ถือเป็นแนวคิดที่น่าทึ่งนะ เป็นผลงานที่เจ้าตัวภูมิใจเสียด้วย”

“ใช่ เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” เจ้าหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมพร้อมรอยยิ้มจริงใจ สัมผัสได้ว่าเขาชื่นชมลาฮาแบรมากนัก

ปรกติแล้วข้าคิดว่าอาการหลงใหลยกย่องในตัวผู้นำคนอื่นๆของอิลิดิบัสนั้นก็น่าเอ็นดูอยู่หรอก ถึงจะทำให้เขินในบางที แต่ตอนนี้เรื่องที่ชวนให้สนใจมากกว่าคืออิฟริต้านั้นมาเกี่ยวอะไรด้วย … และคิ้วของข้าก็ยังคงขมวดค้างต่อไปพร้อมครุ่นคิด
.
.
‘อิฟริต้า’ เป็นการรวมตัวของเอเธอร์แห่งไฟ..นึกดูแล้วก็พอจะเข้าใจว่าอาเซ็มมีแผนอะไร นางคงจะเปลี่ยนเอเธอร์ที่ไหลล้นออกมาจากภูเขาไฟให้เป็นอิฟริต้า แล้วก็ล่อมันไปทำลายที่อื่นที่ปลอดภัย

ดังนั้น..อาเซ็มก็ต้องใช้คอนเซปต์วิธีการสร้างอิฟริต้า แต่ถ้าไม่ใช่ลาฮาแบรที่มอบให้เธอเสียเองแล้วจะเป็นใครกัน? แน่นอนว่าคอนเซปต์ทั้งหมดทั้งถูกเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานผู้สรรค์สร้าง ไม่สามารถนำออกมาใช้เป็นการส่วนตัวได้โดยง่าย

เว้นเสียแต่ว่า...ไอ้เจ้าหัวหน้าสำนักงานที่ว่านั่นจะเป็นคนอนุญาตเสียเอง ใช่สิ จะมีใครอื่นอีกเล่า ข้าเห็นภาพเพื่อนตัวดียิ้มกริ่มพร้อมอวยพรให้อาเซ็มปลอดภัย ไฮโธลเดอุสชอบนักกับการสมคบคิดทำเรื่องยุ่ง ข้ายกมือขึ้นก่ายหน้าผากโดยลืมไปว่ายังใส่หน้ากากอยู่ อิลิดิบัสก็ดูจะรู้ทันทีว่าข้าเข้าใจที่มาที่ไปแล้ว

“ถ้าสถานการณ์บานปลาย อาเซ็มจะต้องถูกตำหนิอีกแน่ แต่...” เจ้าหนุ่มหยุดคิดครู่หนึ่ง “แต่ข้ามั่นใจว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น หากท่านตามไปช่วยเธอ”

“นั่นก็จริง... ว่าแต่ในฐานะตัวแทน เจ้ามาเข้าข้างนางแบบนี้จะดีรึ?”

“หาได้เป็นเช่นนั้น” อิลิดิบัสตอบด้วยความกระฉับกระเฉง “ข้าเพียงแต่ให้น้ำหนักกับความคิดเห็นของท่านอาเซ็มอย่างเท่าเทียมเท่านั้น ในเมื่อเราทั้งหมดก็ยังมิได้ตัดสินใจเด็ดขาดเกี่ยวกับภูเขาไฟนี้”

ถึงจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะโต้แย้ง ข้าจึงเพียงแต่ยักไหล่ อาเซ็มช่างโชคดีที่อิลิดิบัสคนปัจจุบันนี้เป็นคนอ่อนโยน แต่ก่อนจะเดินจากไป ข้าก็อดจะถามคำถามหนึ่งไม่ได้

“อาเซ็มบอกเจ้าหรือเปล่าว่าทำไมนางถึงอยากขัดขวางการระเบิดของภูเขาไฟนี้นัก”

“ถ้าจำไม่ผิด..” ชายหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด พยายามจะรื้อฟื้นบทสนทนาให้แม่นยำถูกต้องทุกคำ สมกับตำแหน่งตัวแทนที่จะไม่พูดอะไรพลีผลาม

“นางบอกกับข้าว่า ‘องุ่นที่ปลูกบนเกาะนั้นรสชาติเยี่ยมมาก’ มันควรค่าแก่การสงวนเอาไว้แม้จะต้องขัดหลักธรรมชาติก็ตาม ถ้าอาเซ็มพูดแบบนี้แล้วมันก็คงจะไม่ธรรมดาจริงๆ!”

“...อืม นั่นสินะ” ข้าไม่อยากจะทำลายความเลื่อมใสของอิลิดิบัสที่เกิดจากความใสซื่อ จึงไม่ได้พูดอะไรออกไปมาก แต่เจ้าสองตัวนั่น... เจ้าคนชอบองุ่นและเจ้าตัวสมคบคิด เตรียมรอโดนข้าเทศน์ชุดใหญ่ได้เลย

อิลิดิบัสบอกลาโดยไม่ได้สังเกตเห็นความอ่อนอกอ่อนใจของข้า ชายหนุ่มร่างเล็กยิ้มและเดินจากไปพร้อมรำพึง ‘อาเซ็มมักมีมุมมองที่แปลกไปกว่าใครเสมอ!’
.
.
.
เมื่อกาลก่อน อิลิดิบัสเป็นคนเช่นนี้เอง มีน้ำใจ กระตือรือร้นที่จะทำหน้าที่ เคารพและชื่นชมเหล่าผู้นำมากกว่าใคร สำหรับพวกเรา เขาเป็นเหมือนน้องชาย เป็นที่รักของทุกคน

ในตอนที่ต้องเลือกหัวใจของโซดิอาร์ค เราทุกคนต่างมุ่งมั่น แต่เมื่อผลปรากฏว่าเขาคือคนที่เหมาะสมที่สุด ไม่มีแม้คนเดียวที่ไม่หวั่นไหวเมื่อจะต้องเสียเขาไป

แน่นอนว่าเรายิ่งตระหนกเมื่อได้พบกับเขาอีกครั้งโดยไม่คาดฝัน มันเกิดขึ้นหลังจากโซดิอาร์คถูกอัญเชิญได้ไม่นาน หายนะผ่านพ้นไปชั่วคราว แต่ผู้คนเริ่มแตกแยก ไม่สามารถรวมใจเลือกเส้นทางอนาคตได้ ฝ่ายหนึ่งอยากให้นำพาพวกพ้องกลับมาด้วยการเสียสละ อีกฝ่ายหนึ่งอยากปล่อยให้โลกเป็นของชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นมา

ขณะที่กำลังสิ้นหนทาง เราก็ได้เห็นมัน ร่วงหล่นออกมาจากอกของโซดิอาร์ค ไม่มีรูปทรงแน่ชัด มันสั่นไหว บิดเบี้ยว และเริ่มเปลี่ยนลักษณะกลายเป็นชายคนหนึ่ง เขามองมาที่เรา ปากเริ่มปรากฏเป็นรูปร่างที่ชัดเจน เกือบจะคล้ายรอยยิ้มจริงใจที่คุ้นเคย

"อย่า..กลัว..ไปเลย...เราต้องทำได้..ทางเลือกที่ถูกต้อง...ข้า..อิลิดิบัส...จะช่วยทุกคนเอง"
.
.
.
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร ข้าไม่ใส่ใจที่จะจำ เมื่อหน้าที่ในฐานะจักรพรรดิโซลัสสิ้นสุด จิตก็ล่องลอยไปในที่ๆคุ้นเคย อยากจะพักอย่างสงบชั่วคราวในห้วงมิตินี้ อาจจะสักร้อยปี อยู่ในรูปลักษณ์ดั้งเดิมของตน เพื่อชำระล้างคราบไคลจากตอนที่อยู่ในร่างของโซลัสออกไป

ก็ใช่ว่าการเก็บรักษาอัตลักษณ์เอาไว้จะยังเหลือความหมายอะไรเป็นพิเศษ เคยคิดหลายครั้งหลายหนว่าจะปล่อยให้ตัวตนดั้งเดิมเลือนหายไป

แต่เมื่อเห็นสภาพของอันซันเดอร์อีกสองคนแล้ว ข้าคิดว่าดื้อดึงต่อไปก็ไม่เลวนักหรอก อาจจะมีเหตุผลอะไรดีๆมาแทนที่ความรู้สึกอันว่างเปล่านี้ก็เป็นได้
.
.
"เอเมทเซลค์"

เสียงเรียกชื่อข้ากังวานในความมืด

อีกแล้วรึ? แม้ตัดสินใจว่าจะเพิกเฉย แต่เสียงนั้นก็ใกล้เข้ามาอีกครั้ง

เป็นเสียงเดียวกันกับเสียงที่เคยเรียกข้าในห้องโถงเมื่อนานแสนนานมาแล้ว แต่มันกลับฟังดูไม่เหมือนกัน ทั้งน้ำเสียง ทั้งนิสัยของผู้พูด อันที่จริง…จะว่าเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิงก็ว่าได้

"ลาฮาแบรจากไปแล้ว" เสียงนั้นพูดแผ่วเบา

ข้าลุกขึ้นยืนมองหน้าอิลิดิบัส เกิดความเงียบยาวนานระหว่างเราสองคน น้ำหนักในความหมายของคำพูดนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบาย ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรา แต่การจากไปครั้งนี้..ไม่ใช่

"เรารู้กันอยู่แล้วว่าสักวันต้องเป็นแบบนี้"

ข้าปิดตาลง ถอนหายใจแช่มช้า เขาพูดถูกแล้ว ในพวกเราสามคน ลาฮาแบรใจร้อนที่สุด และสุดท้ายมันก็กลายเป็นความประมาทเลินเล่อ ลาฮาแบรไม่เคยหยุดพัก ทั้งเดินทางระหว่างโลกกระจกทั้งหลาย เปลี่ยนร่างครั้งแล้วครั้งเล่าแม้มันจะทำลายตัวเองทุกครั้ง ต้องการสร้างหายนะครั้งใหม่ทันทีแม้มันจะเพิ่งผ่านพ้นไป

ความหลงใหลในธาตุไฟของเขาส่งผลกับตัวเขาเองด้วยหรือเปล่า? ตั้งแต่อิฟริต้าจนถึงวิหคเพลิง สิ่งประดิษฐ์ของลาฮาแบรล้วนสวยงามโชติช่วง แต่สุดท้ายเปลวเพลิงก็ย่อมเหลือเพียงเถ้าถ่าน ดังเช่นตัวเขาเอง

ข้าลืมตาขึ้นมองหน้าคนที่เคยนับเป็นน้องชาย แต่ริมฝีปากใต้หน้ากากของอิลิดิบัสไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ความรู้สึกที่ผูกพันกับพวกเรายังหลงเหลืออยู่หรือไม่? เขาไม่อาจบอกเราได้อีกแล้วใช่ไหมว่าเขารู้สึกอย่างไร?

"ทำไมหรือ เอเมทเซลค์?"

"ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดถึงผลงานของลาฮาแบรที่เหมือนตัวเขาเอง"

"ผลงานของเขา?" ดูจากหมัดที่กำแน่นและน้ำเสียงเจือความลังเล แน่นอนว่าเขาจำไม่ได้ อิบิดิบัสเองก็รู้แจ้งดีว่าความทรงจำอีกส่วนของตัวเองนั้นหายไปอีกแล้ว นับแต่วันที่เขากลับมาในฐานะความหวัง เวลาได้ทำลายเศษเสี้ยวที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขาไปช้าๆ

"อิลิดิบัส แน่ใจรึว่าเจ้าจะไม่ดูคริสตัลของตัวเอง?"

ตอนที่อิลิดิบัสและลาฮาแบรยังเป็นตัวของตัวเอง เราช่วยกันระลึกความทรงจำถึงผู้นำคนอื่นๆและบรรจุมันลงในคริสตัล เพื่อคนที่จะมารับตำแหน่งต่อไปจะได้เรียนรู้ถึงความทรงจำเหล่านั้น

ข้าแน่ใจว่าอิลิดิบัสสามารถใช้มันเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำบางส่วนของตัวเองได้ แต่เขากลับไม่เคยทำเช่นนั้นเลย... และครั้งนี้ก็เช่นกัน

"ข้าคืออิลิดิบัส ขอเพียงจำหน้าที่ของตนได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ต่อให้ข้าระลึกถึงบางอย่างออก…ข้าก็จะต้องลืมมันอีกแน่ระหว่างการดิ้นรนอันยาวนานนี้ ถ้าหากมันเป็นความทรงจำที่มีความหมายลึกซึ้งตามที่ข้าเข้าใจ ข้าก็ไม่อยากจะลืมมันครั้งแล้วครั้งเล่า

อย่าให้ข้าต้องจำมันได้และลืมมันอีกเลย"

ถึงจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากโต้แย้ง ข้าจึงเพียงแต่ยักไหล่เช่นในอดีต แต่อิลิดิบัสก็จำเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน

"ข้าจะไปที่โลกต้นกำเนิด ไปจัดการกับผู้กล้าคนที่ทำให้ลาฮาแบรพ่ายแพ้" อิลิดิบัสพูดและช่องประตูมิติก็เริ่มเปิดออก

"ถ้าฝั่งนั้นเป็นผู้กล้า ก็ไม่ใช่ศัตรูของเจ้าน่ะสิ แต่จะยังไงก็เอาเถอะ"

"เราต้องเตรียมรับมือสถานการณ์ที่แย่ที่สุด จะสำเร็จได้ เจ้าก็ต้องเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยเช่นกัน"

ก่อนจะตอบว่าข้าอยากจะงีบหลับพักสักครู่ อิลิดิบัสก็หายตัวไป ทิ้งข้าไว้ลำพังในความมืด

และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราได้พบหน้ากัน
.
.
.
.
แล้วตอนนี้ล่ะ?

พลังเวททั้งหมดของข้าสลายไป
เหลือเพียงตัวตนของข้าเอง
แผ่วบางเจือจาง

เฉกเช่นลมหายใจของข้า
ที่ใกล้ถึงคราวจะหายไปเช่นกัน

เป็นการต่อสู้ที่แสนสาหัส
เป็นชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

ข้าถึงเดิมพันด้วยทั้งหมดที่ข้ามี
เพื่อความหวังของข้าและผองพี่น้อง

และแล้วเอเธอร์ก็เพรียกหาข้า
สู่ความมืดมิดชั่วนิรันดร์แห่งอันเดอร์เวิลด์

ข้าคิดถึงอดีตที่ผ่านพ้นมา
และอนาคตที่จะก้าวผ่านข้าไป

ตอนจบต่อจากนี้
มิได้ขึ้นอยู่กับข้า

แม้ความคู่ควรยังต้องรอการพิสูจน์
แต่ยังมีตัวแสดงบางคน ยืนหยัดอยู่บนเวที

แม้มือนี้จะไม่อาจคงรูปร่าง แต่ข้าก็จะดีดนิ้ว
หยุดม่านการแสดงไม่ให้ปิด

และประกาศว่า encore!

จับตาดูให้ดีล่ะ-
บทสรุปของเรื่องราวนี้
.
.
.
================

=เก็บตก=

บทพูดของเอเมทช่วงท้าย ในฉบับ Eng นั้นเป็นกลอน (ขอข้ามการแปลให้มีสัมผัสตามต้นฉบับ) เหมือนกับเนื้อหาหลายๆอย่างของอามูรอทที่อ้างอิงวรรณกรรมคลาสสิก กลอนที่ว่าเป็นกลอนจากบทละคร The Tempest ของเชคสเปียร์

เป็นปัจฉิมบทที่ พรอสเพโร ตัวเอกของเรื่องผู้เป็นนักเวท ยอมละทิ้งเวทมนตร์ทั้งหมดของตน ยกโทษให้คนบาปที่เคยโกรธ ขอให้คนดูอภัยให้ตนในเรื่องไม่ดีที่เคยทำ ก่อนจะกลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างผาสุข

ตามที่ผู้เขียนตั้งใจอ้างอิงเนื้อหา บทบาทของเอเมทตอนนี้ก็ใกล้เคียงกับพรอสเพโร ที่ไม่มีพลัง ปลดเปลื้องความร้ายกาจที่เคยมี ปล่อยวางและเป็นอิสระ

ชอบการนำมาใช้สื่อความเจ้าบทเจ้ากลอนเข้ากับตัวละครดี ยิ่งตอนบอกอองคอร์นี่ทำเอาอมยิ้มเลย คือถึงเวลาก็จะสลายไปในไลฟ์สตรีม แต่ตอนนี้ยังไม่ยอมว้อย I’m dead, but nah จะอยู่ต่อไปอีกนิดในฐานะคนดูหลังฉาก แถมผายมือมายัง ‘ตัวแสดงบางคนที่ยังอยู่บนเวที’ ให้เล่นต่อซะด้วย

ตัวแสดงที่ว่าก็หมายถึงตัวเอกของเรานั่นเอง ดูจะย้ำหลายครั้งทั้งในนิยายนี้และ MSQ ว่าเข้าช่วงจบของเนื้อเรื่องแล้ว หลัง ShB มาความคาดหวังก็สูงลิบ 😅 ก็เชื่อมือทีมงานว่าจะปิด arc นี้ได้ดี มารอดูกันต่อไปจ้ะ~

ป.ล. ใครเชื่อทฤษฏีนกชูบิลล์แต่แรกนี่ขอคารวะ...

#FF14


Tags:

About author
รีวิว/สรุปเนื้อเรื่อง/บ่น/โม้ Console&PC Game โดย TAEPOPPURI
Things about gaming reviews - news - articles เล่าข่าวเกม คุยเนื้อเรื่อง รีวิวเจาะลึก
View all posts